Image from @dhanavadh

15 minutes Reading

เมื่อผมเอาความรู้ UX/UI มาปรับปรุง Portfolio ของผม

จากคนที่สร้างเว็บโดยที่ใช้ความรู้สึกโดยไม่มีความรู้เรื่อง User Experience เลย มาสู่การรีเมคเว็บไซต์ของตัวเองให้เข้าถึง user ทุกคน ผมจึงรู้สึกว่าความรู้เรื่อง UX สำคัญมาก ๆ สำหรับนักพัฒนาเว็บ frontend

สวัสดีครับ เทรุนะครับ 😃 สำหรับบทความนี้เป็นภาคต่อกับบทความเรื่อง Review พอร์ตโฟลิโอของผมที่สร้างแบบยังไม่รู้เรื่อง UX ที่ผมได้เขียนไว้ครับ ผมได้ระบุถึงปัญหาที่พบเจอกับการออกแบบเว็บไซต์ในแต่ละครั้ง และชี้ให้เห็นถึง UX/UI Design Principle มีความสำคัญอย่างไรกับการสร้างหน้าเว็บไซต์หนึ่งขึ้นมาครับ

ก่อนอื่นเลย ผมขอพรีวิวให้ชมก่อนครับ

ตัวอย่างเว็บไซต์ portfolio ใหม่ครับ ✨

ในบทความนี้ผมจะมานำเสนอการนำ UX/UI Design Principles มา implement กับ เว็บไซต์ปัจจุบันของผมอย่างไรบ้างครับ จริง ๆ อยากเล่าถึง process ทั้งหมด ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่ามันเยอะมาก เช่น พอเวลาเราทำ element แต่ละอันออกมาแล้ว test แล้วมา reflex ดูอีกที ก็กลับไปแก้ ทำแบบนี้วนไปหลายรอบมากครับ UX มันต้อง test เยอะจริง

ทำไม UX ถึงสำคัญมากขนาดนั้น?

คือผมว่า เราต้องมาเข้าใจก่อนว่า เรากำลังทำอะไร ให้ใคร ใครจะมาใช้งานอะไรกับผลิตภัณฑ์ของเรา สมมติว่าผมทำเว็บขายเทียนและเครื่องหอม ทำเว็บเสร็จ deploy ขึ้น production คนที่สนใจเทียนและเครื่องหอมอาจจะเข้ามาดูหน้าเว็บผม ระหว่างวินาทีแรกที่ user เข้ามาเห็นหน้าเว็บเรา วินาทีนั้นคือ พลังที่องค์ความรู้เรื่อง User Experience จะเข้ามาทำงานทันที

วินาทีแรกที่ user เห็นนั้น อาจจะเกิดคำถามตามมาดังนี้

  • user จะเกิดความรู้สึกอย่างไรกับแบรนด์เรา?

  • เราจะนำเสนอภาพของแบรนด์เราให้ user เห็นอย่างไร?

  • user จะจดจำแบรนด์เราเป็นอย่างไร?

และคำถามตามมาอื่น ๆ อีกมากมาย ใด ๆ ก็แล้วแต่ ความรู้เรื่อง ux จะเข้ามาตอบให้กับสิ่งเหล่านี้

ยกตัวอย่างอีก ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องหอม และในตลาดมีแบรนด์คู่แข่งอยู่มากมาย แล้วถ้าผมไม่ได้ลงทุนในเรื่อง ux ผมอยากจะสร้างอะไรก็สร้าง อยากให้เว็บเป็นไปตามที่ตัวเองชอบ ฟอนต์ขนาดเท่านี้ ๆ ผมไม่ได้มานึกถึงว่า ลูกค้าจะเข้าเว็บไซต์ผ่านช่องทางไหน อาจจะคอม หรือ มือถือ แต่ทำแบบคอมไปก่อนละกัน

จากตัวอย่างข้างต้นคือ ผมแทบจะไม่ได้เข้าใจ user เลย คิดเองทำเอง ผลลัพธ์คือ อาจจะออกมาแย่ หากลูกค้าที่เข้ามา เขาใช้มือถือล่ะ แต่เว็บผมไม่รองรับ responsive design นะ ปัญหาเกิดแล้ว?! user อาจจะอ่านไม่รู้เรื่อง เกิด impression ที่ไม่ดี ละออกจากเว็บไปดูเว็บอื่น ผมเสียลูกค้าไป 😨

ตัวอย่างการจัดการ text ที่ไม่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ user ใช้งาน

ผมมองว่าเราจะทำอะไรออกมาแต่ละอย่างคือ ควรเข้าใจคนที่เขาจะมาใช้สิ่งที่เราทำ จากตัวอย่างข้างบนคือ ผมต้องการให้ลูกค้าซื้อสินค้าของผม แต่ปัญหาของผมคือ เว็บไซต์ไม่ได้ออกแบบมาดี ไม่ได้สนใจ user ขนาดนั้น จึงทำให้ผมเสียลูกค้าไป การนำความรู้เรื่อง user experience มาใช้ก็จะเป็นทางออกให้กับปัญหาที่ผมเจออยู่ คือ achieving user's task!

ผมอาจจะศึกษาว่าลูกค้าเป็นใคร ชอบอะไร ทำไมเขาถึงมาดูหน้าเว็บไซต์ผม แล้วเขาจะมี interact อย่างไรกับเว็บไซต์ของผม กระบวนการที่ผมได้พูด ๆ ไปข้างต้นก็เป็นอีกหนึ่งในขั้นตอนของการศึกษาผู้ใช้ แต่ในบทความนี้ผมไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับ process ตรง ๆ

พอเราเข้าใจแล้วว่า user เราเป็นยังไง (อาจสร้าง persona, journey map, etc.) ก็มาถึงขั้นตอนระดมสมอง เทส ทำแบบนี้วน ๆ ไป จนกว่าจะได้ outcome ที่ดีที่สุดออกมาให้ user ของเราเพื่อให้ user ทำ task ได้สำเร็จ (เช่น อาจซื้อของกับร้านเรา)

UX/UI ใน portfolio อันนี้ของผมเป็นมาอย่างไร?

ก่อนอื่น พอร์ตที่ผมรีเมคใหม่อันล่าสุดนี้ ผมได้เอาความรู้เรื่อง ux มาใช้กับงานของผม ยึดตาม design process แต่ด้วยที่ผมทำงานคนเดียว และระยะเวลาที่ผมมีค่อนข้างจำกัด ผมจึงไม่ได้ใช้ figma มาทำ prototype แต่เอาจาก wireframe ง่าย ๆ มาเขียนเป็นเว็บ แล้วมาลองเทสเลยว่าอะไรเวิคหรือไม่เวิค

เว็บพอร์ตใหม่ที่ผมทำขึ้นครับ✨

ระหว่างที่นั่งทำก็เจอหลาย ๆ อย่าง คอยแก้ตรงนู้นตรงนี้ตลอด ก็ทำวนตาม process เรื่อย ๆ แต่ที่ผมต้องคอยนึกถึงเสมอคือ user ผมจะทำยังไงให้เขาอยู่กับเว็บผมได้นาน ทำอย่างไรให้เขาโอเค อยากรู้จักกับผม อยากอ่านงานของผม ในส่วนนี้ผมก็มาระดมไอเดีย ออกแบบโฟลว และกระบวนการอื่น ๆ ทำวน ๆ ไป จนได้งานที่ออกมาดูโอเคสำหรับตอนนี้

ในงานนี้ ผมอาจจะเน้นอธิบายเรื่อง ui design เป็นส่วนใหญ่ โดยผมก็ได้นำหลักการออกแบบต่าง ๆ รวมไปถึง patterns มาปรับใช้กับงาน ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยิน เช่น gestalt principles หรือ common region และอื่น ๆ

IA ในโปรเจคนี้มีอะไรบ้าง ?

Information Architecture หรือ การจัดระเบียบข้อมูล เรามีข้อมูลอยู่ก้อนหนึ่งเราจะจัดการและแบ่งยังไงให้เป็นหมวดหมู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากยกตัวอย่างเว็บไซต์ข่าว จะเห็นได้ว่ามีการจัดการหมวดหมู่ประเภทของข่าว แบ่งโครงสร้างได้เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน

ในโปรเจคนี้ เนื่องจากเป็นเพียงเว็บที่ใช้เก็บผลงานของผมเท่านั้น ตัวข้อมูลที่มีอาจจะไม่ได้มีความซับซ้อนขนาดนั้น หากเป็นงานที่สเกลใหญ่กว่านี้ การวาง IA ก็อาจจะช่วยจัดการให้ข้อมูลอยู่ในกลุ่มที่เหมาะสม และ user เข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

IA ที่ผมวางไว้แบบคร่าว ๆ ครับ

ในภาพคือผมแบ่งเป็น 4 ส่วนที่ อยากจะเก็บไว้ในเว็บไซต์ของตนเอง แต่ตอนทำงานจริง ผมได้ยุบ Participation กับ Certification ไว้เป็นหมวดหมู่เดียวกัน

ส่วนที่ผมเพิ่มมาใหม่จากพอร์ตเดิมคือ ส่วนของ Blogs เพราะผมรู้สึกว่าอยากให้คนเข้ามาอ่านงานเขียนของผม และถือโอกาสเก็บไว้เป็น showcase ของผมได้ครับ

เมื่อผมมีข้อมูลพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องมาระดมไอเดีย อยากให้หน้า UI เราออกมาเป็นแบบไหน user เข้ามาเจอเว็บเราแล้วเขาจะทำอะไร ในส่วนถัดไปผมจะขอเริ่มอธิบายว่า ทำไมแต่ละหน้าเว็บถึงเป็นแบบนี้ และผมใช้อะไรมาช่วยจัดการ UI ในแต่ละหน้าครับ

วันนี้จะพาไปชมอะไรบ้าง?

จาก IA ข้างบน ทุกคนพอจะเห็นภาพคร่าว ๆ แล้วใช่ไหมครับว่า ข้อมูลที่อยู่ในนี้มีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าแรก โปรเจค บทความ ประสบการณ์ และ ข้อมูลเกี่ยวกับผมแบบละเอียด ๆ หลังจากนี้ผมจะพาชมแต่ละ element ที่ผมได้สร้างขึ้น โดยผมจะพาดูตั้งแต่ Layout ยัน component แต่ละชิ้นเลยครับ อีกทั้งจะพาไปดูกว่าที่จะมาเป็นเว็บไซต์เวอร์ชั่นนี้ ผมต้องเทสอะไรบ้าง ซึ่งค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ

ก่อนที่ผมจะเข้าไปเล่าให้ฟังว่างานของผมประกอบขึ้นมาอย่างไรนั้น ผมอยากพาไปรู้จักกับ design patterns ครับ

Design Pattern ในงาน UI Design?

ผมมองว่า key element ในการ design ชิ้นงานออกมาให้กับ user อยู่ที่ design principle เราอาจจะต้องยังคำนึงว่าจะสร้าง visual hierarchy ยังไง อย่างไรก็ดี pattern ก็อาจเป็นเหมือนตัวเชื่อมให้ทำงานง่ายขึ้นเท่านั้นเองครับ อารมณ์เดียวกับ Design Pattern ใน OOP คือ มีก็ดีนะ จะได้ทำงานง่ายขึ้น แต่ไม่มีเราก็ยังทำงานได้ เป็นเหมือนคำแนะนำเท่านั้นเอง

ในโปรเจคนี้ผมนำ design patterns มาใช้กับงานในหลาย ๆ ส่วนครับ จริง ๆ เยอะมาก แต่ผมอาจจะนำมาเล่าได้ไม่หมดครับ 😂 โดยที่จะเล่าถัดจากนี้ผมจะเล่า

มาจัดการกับ Page Layout กัน

การจัดการ layout ของแต่ละหน้าก็เหมือนเป็นการออกแบบของเราที่จะดึงดูดผู้ใช้อย่างไร แล้วเราจะออกแบบยังไงกันล่ะ visual hierarchy, visual flow หรือ focal point จะเข้ามาช่วยเราในส่วนนี้ครับ

Visual Hierarchy สำคัญอย่างไร?

Visual Hierarchy หากพูดอย่างง่าย ๆ คือการจัดการลำดับความสำคัญของแต่ละ element อะไรสำคัญกว่าก็ทำให้มันดูโดดเด่นกว่า อาจใช้ขนาดของข้อความ หรือ สี เข้ามาช่วยจัดการ

เว็บพอร์ตใหม่ที่ผมทำขึ้นครับ✨

ในหน้าแรกของผม แบ่ง layout เป็น 2 ส่วน คือส่วนข้อความ และ ส่วน navigation นำทางให้ user ไปยังหน้าอื่น ๆ โดยที่ในหน้าแรกผมได้แบ่ง ให้ฝั่งข้อมูลของผมมีขนาดที่ใหญ่กว่าอีกฝั่ง และแบ่งโดยการใช้ gap แบ่งช่องว่างให้ user อาจเดาได้ว่าในหน้านี้มี ทั้งสองเป็นคนละส่วนกัน

การทำแบบนี้อาจเรียกว่าการ grouping ของสิ่งที่มันเหมือนกัน และ isolate ของสิ่งที่ต่างกันออกมา สิ่งนี้คือ proximity ใน gestalt principles นั่นเองครับ🥸 ซึ่งมาก็ได้เอามาใช้กับหน้าอื่น ๆ เพื่อจัดให้ element เป็นกลุ่ม ๆ เห็น relationship ของแต่ละสิ่งได้ครับ (Jenifer, 2010)

Heading ข้างบน ผมมีการใช้ ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่กว่าเพื่อดึงดูดสายตาผู้ใช้งาน ในหัวข้อ Reach me via ผมก็ใช้ขนาดของฟอนต์ที่ต่างกันออกไปเพื่อให้ user แยกออกว่าอะไรเป็นหัวข้อ อะไรเป็น subset สิ่งนี้ก็อาจเรียกว่าเป็นการใช้ visual hierarchy มาช่วยจัดการลำดับความสำคัญของข้อมูล

ตัวอย่างหน้า blogs

อย่างในหน้า blogs ผมก็ได้ทำการแบ่งหัวข้อบทความ เป็นสอง column โดยที่ในแต่ละคอลัมน์มีขนาดเท่ากัน การแบ่งแบบนี้คือ ทำให้ user เห็นว่าสองคอลัมน์นี้ มีความสำคัญพอ ๆ กัน เป็น alternative choice ให้ user สามารถเลือกได้ตามความสนใจของตนเอง

Visual Flow?

ธรรมชาติมนุษย์ เวลาเข้าเว็บไซต์ก็อาจจะมีแนวโน้มที่ มองจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา อันนี้คือ flow ทั่ว ๆ ไปที่มนุษย์มักจะทำ visual flow คือ การกำหนดทิศทางนำสายตาให้กับ user เราจะให้ user มองไปทางไหน ทำอะไรต่อ แล้วเราจะกำหนด flow ให้ user ได้อย่างไร

ตัวอย่างการใช้สีชี้นำให้ user ทำตาม flow ที่เราตั้งไว้

Focal points ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่มาใช้กำหนด visual flow ให้กับ user ครับ อย่างในหน้าแรกของผม ผมได้ใช้สีมาทำเป็น focal point นำทางให้ user ไปยังหน้าอื่นได้ focal points คือจุดโฟกัสที่ user จะต้องมองมาแน่ ๆ แต่ การมี focal points ที่มากเกินไปก็อาจจะลดทอนความสำคัญของสิ่งที่เราอยากจะโฟกัสได้

ในส่วนถัดไปผมขอยกตัวอย่างการใช้ Design Pattern ที่ผมเอามาใช้ในโปรเจคนี้กันนะครับ

Visual Framework

visual framework เป็นอีกหนึ่ง design pattern ที่หลาย ๆ คนอาจจะคงเคยได้ยินกัน คือเวลาที่เราสร้างหน้าเว็บหลาย ๆ หน้า นั้น เราควรกำหนด layout หรือ margin ให้กับแต่ละหน้าให้ดูเหมือน ๆ กัน ใช่ไหมครับ สิ่งนี้แหละครับคือ visual framework คือสร้าง consistency ให้กับหน้าเว็บของเรา

แล้วเราจะทำให้เหมือนกันทำไม? เพื่อให้ user รู้ครับว่าเรากำลังอยู่ในหน้าไหน และกำลังหาอะไรอยู่ อีกทั้งยังส่งผลในเรื่องภาพลักษณ์ของเว็บไซต์เราด้วยครับ

ลองมาดูตัวอย่างการปรับใช้ visual framework ของผมนะครับ

ตัวอย่างหน้า Projects ที่กำหนด patterns ให้เหมือนกันทุก ๆ หน้า

ผมกำหนดขนาด margin แกน x หรือ ฝั่งซ้ายขวาไว้ที่ 8 rem สำหรับหน้าจอที่ขนาด min-width: 1024px ครับ หากขนาด device เล็กกว่านั้นผมจะปรับมาใช้เป็น 1.5 rem ครับ ส่วน margin top อยู่ที่ 4 rem ครับ และผมปรับแบบนี้ไว้กับทุก ๆ หน้าเพื่อคงความ consistency ไว้ครับ

ตัวอย่างหน้า Experience ที่กำหนด patterns ให้เหมือนกันทุก ๆ หน้า

ส่วน Title ผมก็ทำให้เหมือนกันทั้งสามหน้าครับ ทั้งหน้า Projects, Blogs, และ Experience และ element รองลงมาผมก็แบ่งให้เป็น 2 คอลัมน์เหมือนกัน เพื่อคงความ consistency ไว้ครับ และเพื่อให้ user เกิดความชินกับ layout ที่ผมได้วางเอาไว้ครับ พูดอีกอย่างเหมือนให้เขารู้คาแรคเตอร์ของผมครับ

Titled Section

จริง ๆ ในส่วนของ Title นั้นก็อาจเรียกได้ว่าเป็นอีก 1 ใน design patterns เช่นเดียวกันครับ ในส่วนของ Title ผมก็เขียน Guide ไว้ให้ว่าคุณอยู่หน้านี้ ๆ นะ เพื่อบอกให้ user รู้ครับ

Titled Section คือการที่แบ่งสัดส่วนของแต่ละหน้าโดยใช้ title มาบ่งบอก user ครับว่ากำลังอยู่หน้าไหน อย่างของผมในหน้า expreience ผมเขียนไว้ว่า “See how I grew up!” จริง ๆ ผมไม่อยากเขียนคำว่า Experience ไปเฉย ๆ เพราะการคิดแต่ละคำออกมาก็เป็นหนึ่งในกระบวนการ UX เช่นเดียวกัน

ผมมองว่าคำที่ผมเขียนมานั้นผมอยากสร้าง characteristic feature ให้กับตัวหน้าเว็บไซต์ผมครับ อีกอย่างคือ ผทอยากได้รับ attention และอยากให้ user รู้จักผมมากกว่าคำแค่ว่า experience ครับ

Global Navigation

เราทำเว็บไซต์ขึ้นมามีข้อมูลอยู่หลายหมวดหมู่ เราจะทำยังไงให้ user เข้าถึงข้อมูลนั้น ๆ ได้อย่างง่าย ๆ ในเว็บไซต์ทั่วไปเรามักจะเห็น navigation bar หรือ footer ใช่ไหมครับ สิ่งนั้นก็เป็นหนึ่งใน components ที่ช่วยนำทาง และการที่ว่า ไม่ว่าเราจะเข้าหน้าไหน เราก็จะเจอ navbar หรือ footer นั้น สิ่งนั้นเรียกว่า global navigation ครับ

จริง ๆ global navigation เป็นหนึ่งใน navigation model ครับ อย่างในหน้าแรกส่วนทางขวามือที่ผมได้เล่าไปในส่วน focal point อันนั้นก็เป็นอีกหนึ่งใน navigation model ครับ

ในโปรเจคนี้ผมได้ทำ navbar และ footer เพื่อให้ user สามารถเลือกไปดูข้อมูลได้ตามความต้องการครับ

Navbar ในขนาด desktop

ข้างบนนี้เป็น navbar ในขนาด desktop size ครับ หาก min-width ต่ำกว่า 1024px ผมจะเปลี่ยนไปใช้แบบ popup navbar แทนครับ

Navbar แบบ popup สำหรับ mobile screen

จากตัวอย่างข้างบนนั้นคือ navbar ที่รองรับ responsive design ครับ และเมื่อ user เอาเมาส์ไปชี้ที่แต่ละหัวข้อ ก็มี action ตอบรับกลับมาเพื่อให้ user รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ จากในคลิปคือ เมื่อชี้ที่หัวข้อ blog หัวข้ออื่นก็จะมี text ที่สีจางลง เพื่อเน้นให้ user รู้ว่ากำลังจะไปหน้า blog นะ ประมาณนี้ครับ

A/B Testing

กว่าจะมาเป็น final product ผมต้องจัดการกับ components ค่อนข้างเยอะเลยครับ ตอนร่าง wireframe เราร่างไปอีกแบบนึง พอมาลองมาเขียนจริงก็มีปรับแก้ไปหลายครั้งครับ ไม่ว่าจะตั้งแต่ เลือก theme หรือ จะในหน้า projects จะวางข้อมูลแบบไหนถึงจะเวิคกว่า รวมไปถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็น่าสนใจ ครับ

เรื่องของสี

ตอนแรกผมสร้างเว็บมาเป็นรูปแบบ dark mode ครับ ทำเสร็จสรรพ ลองเอาไปให้เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนเทส พบว่ามีปัญหาเรื่องความสบายตาครับ คือในโปรเจคนี้มีบทความให้อ่านด้วย หากจะต้องอ่านข้อมูลด้วยพื้นหลังสีดำ ตัดกับข้อความสีขาว เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนรู้สึกว่าเกิดความไม่สบายตาครับ เลยทำให้ผมลองเปลี่ยนมาใช้สีโทนสว่างแทนครับ

หน้า Article ในเว็บรูปแบบ dark mode

คือ เรื่องของ dark mode หรือ โหมดปกติ มันเป็นเรื่องความชอบของแต่ละคนครับ แต่ผมมานึกถึงไว้ก่อนว่า user ของเราจะเป็นใครก็ได้ งั้นผมทำเป็นสีขาวก่อน ไว้ dark mode ค่อยทำต่อยอดในอนาคตครับ

หน้า Article ในเว็บรูปแบบที่ปรับปรุงใหม่ครับ

จากภาพด้านบนเป็น บล็อกเวอร์ชั่นล่าสุดครับ นอกจากปรับสีแล้ว ผมปรับขนาดความกว้างของ ตัว paragraph ไว้ด้วยครับ เพราะ จุดโฟกัสของตามนุษย์ไม่ได้กว้างขนาดนั้น หากจะต้องมานั่งอ่านบทความที่ ความกว้างของ paragraph กว้างเกินไป อาจส่งผลให้ user เหนื่อยสายตาที่จะต้องกวาดตามอง

สังเกตเพิ่มเติม ในส่วนบทความผมใช้ตัวอักษรแบบมี loop เพื่อให้ อ่านได้ง่ายครับ หากเราจะใช้ typeface แบบไม่มี loop ก็อาจจะส่งผลแย่ต่อผู้อ่านครับ อารมณ์เดียวกับใช้ comic sans กับทั้งพารากราฟครับ

ใช้สีจัดการกับ Visual Hierarchy

ในลิสต์รายละเอียดเกี่ยวกับโปรเจค ในตอนแรก ผมใช้แค่ text size กับปรับให้เป็นตัวหนาเท่านั้น (อันที่ 2) แต่ก็ยังรู้สึกว่า มันยังดูเด่น ๆ อยู่ ทางแก้ของผมคือ ตัว body text จะถูกปรับให้จางกว่าตัว title/heading ครับ

ภาพเปรียบเทียบการใช้สีกับ Visual Hierarchy

อย่างตัวอย่างด้านบนนี้ จะเห็นได้ว่า อันหนึ่งจะดูข้อมูลได้ง่ายกว่า และไม่ได้ดูว่าทุกอย่างมันดูสำคัญเท่ากันหมด นั่นเป็นเพราะผมใช้สีเข้ามาช่วยในเรื่องของ visual hierarchy ครับ หากใน Figma บางคนอาจจะมีสี Primary และถ้าอยากได้สีไว้ใช้กับ body text ก็อาจจะปรับ HSL ในส่วน Lightness ครับ

ภาพหลังจากที่แก้ไขแล้ว

หลังจากที่ผมใช้สีเข้ามาช่วยจัดลำดับความสำคัญแล้ว ก็อาจจะช่วยให้ user สามารถดูหน้าเว็บได้สบายตามากขึ้นครับ

Banner ในหน้า blog

ตอนนั้นผมยังเลือกไม่ถูกครับว่า ในหน้า blog เราจะใส่ list แบบไหนดี ผมเลยลองสามแบบครับ แบบที่ 1 เป็น object รูปภาพแบนเนอร์ไปเลย แบบที่ 2 คือ มี title กับ detail และแบบที่ 3 คือ มีภาพอยู่ด้านท้ายครับ

ภาพเปรียบเทียบการเลือกใช้ list

แบบที่ 1 ฝั่งซ้าย

การใช้ภาพ หรือของที่ high-contrast นั้นจะดึงดูด user แต่ก็มีข้อเสียด้วยเหมือนกัน คือเราไม่ควรใช้จนมากเกินไป อย่างในบางครั้ง banner ก็ถูกใช้กับ ads การใช้รูปภาพที่บ่อยและเยอะเกินไป อาจทำให้ความสำคัญของ component นั้น ๆ ถูกลดความสำคัญลง (Jenifer, pp.134)

อีกทั้ง การใช้รูปเป็นแบบทั้งก้อน stack กันหลาย ๆ ชั้น ผมอยากให้ลองจินตนาการว่าทั้งสองฝั่งเป็นแบบนี้ เราจะพบว่า แทบไม่มีพื้นที่โล่ง ๆ ให้กับ user การ clustering หรือ crowding อาจทำให้ user เกิดความอึดอัด ซึ่งอาจส่งผลไม่ดีกับ user (Jenifer, pp.492)

แบบที่ 2 ฝั่งขวา

ไม่มีภาพเลย ก็ไม่ดึงดูดให้ user สนใจ component นั้น ๆ เนื่องจากเราอยากให้ user เข้ามาอ่านบทความเรา การใช้ภาพมาช่วย draw attention จาก user นั้น ก็อาจจะดีกว่าไม่มีอะไรใด ๆ เลย

หลังจากตัดสินใจได้ผมจึงเลือกแบบที่สาม และปรับ margin ระหว่าง text และ image กับ line clamp ให้เหลือเพียง 3 บรรทัดครับ ลองดูผลลัพธ์ด้านล่างนี้ครับ

ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากลองเปรียบเทียบกันแล้วครับ

การเลือกใช้คำ

การเลือกใช้คำ ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในกระบวนการ UX ครับ เราจะสื่อสาร ถ่ายทอดข้อมูลที่เรามีออกไปให้ user ของเราอย่างไรให้เกิด impression ที่ดีและมีประสิทธิภาพ อย่างตามที่ผมได้พูดไปในส่วนของ titled section

อย่างในส่วนที่บอกว่าผมพูดภาษาอะไรได้บ้าง ผมมี 2 ตัวเลือก คือ แบบด้านบน กับแบบด้านล่างที่เป็นลิสต์ หลังจากการพิจารณาโดยที่ว่า ผมอยากให้ user เห็นแล้วรู้เรื่องทันที ผมจึงใช้แบบแรกครับ

สองอันนี้เป็นอันที่ผมคิดไม่ตกจริง ๆ ว่าจะเอาแบบไหนดี แต่ที่ไม่เลือกแบบที่สองเพราะ ผมไม่อยากทำเป็นลิสต์ครับ มันใช้พื้นที่ อยากให้ user ไม่ต้องเสียเวลากวาดสายตาลงมาทีละอัน

สรุปภาพรวมครับ🫡

การที่ผมเริ่มทำพอร์ตใหม่ โดยนึกถึง user-centric design มาก่อนทำให้เราได้นึกถึงจุดประสงค์จริง ๆ ว่าเรากำลังทำอะไรเพื่อใคร ใครก็สามารถเขียนเว็บได้ แต่หากไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจใน user ของเรา เว็บของเราก็จะเป็นแค่เว็บแบบนั้น หากเรามีข้อมูลที่ดีและอยากถ่ายทอด แต่เราไม่มีความเข้าใจใน user เราไม่ได้ใช้ความรู้เรื่อง User Experience เข้ามา implement ด้วย การส่งสารถึงผู้รับสารก็อาจจะไม่มีประสิทธิภาพและไม่ได้เกิดผมดีให้กับทั้งผู้รับสาร (ที่เป็นเรา) และผู้ส่งสาร (user)

UX สำหรับผมมันเป็นเรื่องของความเข้าใจในมนุษย์ และนำความเข้าใจก้อนนั้นมา จัดการกับข้อมูลของเราให้ส่งมือถึงผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ หากยก analogy มาว่า ทุกคนทำไข่เจียวได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทไข่เจียวได้อร่อยถูกใจปากคน ผมว่า UX ก็เหมือนกันครับ ทุกคนเขียนเว็บได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสื่อสารกับ user ของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เท่ากัน UX นี่แหละจะคือตัวเชื่อมให้ทุกอย่างรวมกันออกมาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ🥳

Crafted by

writer-img

Dhanavadh Saito

@dhanavadh

Reference